วันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

โลกไร้พรมแดน ท่ามกลางคลื่นลูกที่ ?????



เมื่อสักประมาณกว่า ๒๐ ปีที่แล้ว "คลื่นลูกที่สาม" ของ อัลวิน ทอฟเลอร์ เป็นหนังสือขายดีมั๊กมากกกก ซึ่งโดยสรุป คือ การเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก มีลักษณะเหมือนลูกคลื่น ตั้งแต่ยุคโบราณกาล มนุษย์ จะออกป่าล่าสัตว์และเก็บของป่าเพื่อการอยู่กิน ต่อมา เริ่มรู้จัก การเพาะปลูก เรียกว่า กสิกรรม รู้จัก การเลี้ยงสัตว์ เรียกว่า ปศุสัตว์ หรือเรียกรวมรวมกันว่า "ยุคเกษตรกรรม" เป็นคลื่นลูกที่หนึ่ง และคลื่นลูกที่สอง เริ่มเมื่อมีการประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำ มีรางรถไฟ การผลิตและขนส่งสินค้าสะดวกกว่าเดิม เรียกว่า "ยุคอุตสาหกรรม" ซึ่งสินค้าที่ผลิตจะอยู่ในลักษณะเหมาโหล ตลาดเป็นของผู้ผลิต ขนาดว่า รถยนต์ฟอร์ด ทุกคันต้องเป็นสีดำเท่านั้น แต่เมื่อเริ่มมีการคิดค้น แผงวงจรไอซี ระบบอิเลคทรอนิกส์ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เคยเป็นระบบหลอดก็เปลี่ยนเป็นแผงวงจร คอมพิวเตอร์ที่เคยมีขนาดใหญ่ ก็มีขนาดเล็กลง เริ่มเข้าสู่คลื่นลูกที่สาม "ยุคข่าวสารข้อมูล" .........


"ดูละคอนแล้วให้ย้อนดูตัว" เป็นประโยคในหนังสือละครแห่งชีวิต ของ มจ.อากาศดำเกิง ซึ่งเป็นหนังสืออ่านนอกเวลา ในสมัยผมยังอยู่ในวัยเรียน และผมมักจะคิดและวิเคราะห์เปรียบเทียบตาม ก็ค่อนข้างเห็นด้วยกับ อัลวิน ทอฟเลอร์ ว่า โลกมันเปลี่ยนแปลงด้วยอัตราเร่งที่สูงมาก โดยเปรียบเทียบกับประสบการณ์ในชีวิตจริง ย้อนหลังไปตั้งแต่สมัยผมเรียนระดับมัธยมศึกษา ในสมัยนั้น ศูนย์กลางของกรุงเทพ คือ สนามหลวง ไม่ว่าจะมาจากต่างจังหวัด หรือมุมไหนของกรุงเทพ มักจะนัดกันไปตลาดนัดท้องสนามหลวง แต่ต้องระบุให้ชัดเจนนะว่าใต้ต้นมะขามต้นใด และฝั่งตรงข้ามศาลฎีกา จะมีแผงหนังสือหลังพระแม่ธรณีบีบมวยผม เป็นหนังสือมือสองบ้าง หรือหนังสือใหม่แต่ราคาถูกกว่าที่อื่น


ผมในฐานะที่ต้องช่วยพ่อแม่ประหยัด (แม่ผมจบ ป.๓ แต่รักการอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ นิยายตามนิตยสาร ติดตามไม่เคยพลาด ท่านก็เลยพอมีความรู้อยู่บ้าง โดยเฉพาะรู้ว่า การกินปลาจะทำให้ฉลาด แต่ด้วยสภาพเศรษฐกิจ ท่านพยายามหาซื้อปลาให้ลูกกิน ซึ่งก็ได้เพียงปลาลิ้นหมา ปลาจึงบำรุงสมอง และชนิดของปลาก็บำรุงปากของผมมาจนทุกวันนี้ !!!! ปากหมา !!!! ) สมัยนั้น ผมเรียนระดับมัธยมศึกษา จึงมักจะไปหาซื้อหนังสือจากแผงหนังสือเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นแผงเบอร์ห้า หรือแผงเบอร์สิบ ยังจำได้ดีว่า บริเวณด้านหลังพระแม่ธรณีบีบมวยผม จะเป็นสุขาหรือส้วมสาธารณะ มักจะมีคนมาคอยมองและวิเคราะห์ผู้คนเพื่อบอกขายสินค้า เมื่อผมเดินไปก็จะมีวัยรุ่น ปรี่เข้ามาพร้อมคำถามซ้ำซากว่า "ปกขาวมั๊ยน้อง ปกขาวมั๊ยน้อง ปกขาวมั๊ยน้อง" ปกขาวที่ว่า คงไม่ได้หมายถึง หนังสือเปิดโปงปมทุจริตใดใด แต่รับรู้ร่วมกันว่า เป็น วรรณกรรมลามก ที่พิมพ์ด้วยสีขาวและสีดำหรือเทา ปกจึงมีพื้นเป็นสีขาว รูปภาพและตัวหนังสือเป็นสีดำ (เทา)


ครั้นผมศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี สนามหลวงถูกย้าย ย้ายไปดำรงตำแหน่ง ณ สวนจตุจักร จนปัจจุบันนี้ มีความรู้สึกอาลัยอาวรณ์เป็นอย่างยิ่ง ผมเรียนเอกวิทยาศาสตร์ ตำราชีววิทยา เคมี ฟิสิกส์ ล้วนแต่เล่มหนา ๆ ไม่เว้นแม้แต่จุลชีววิทยา ที่เกือบทำให้ผมเป็น จุล หนังสือหนาราคาแพง คนจนอย่างเราก็ต้องหันไปพึ่งหนังสือมือสองหรือแผงหนังสือราคาถูก เช่นกัน แผงหนังสือย้ายติดตาม เหมือนข้าราชการย้ายติดตามคู่สมรส โดยย้ายไปอยู่จตุจักร เช่นกัน ผมก็ไปหาซื้อตำราเรียนแถวแผงหนังสือจตุจักร แต่สรรพสิ่งเป็นอนิจจัง มันไม่เที่ยง นอกจากมันย้ายสถานที่แล้ว ผมก็อายุมากขึ้น ประกอบกับ มีแววเชื้อจีนอยู่ไม่น้อย ก็จะมีพ่อค้าขายตรงคอยเล็งและรี่มาถามว่า "เฮีย เฮีย วีดิโอเอ็กซซซซ มั๊ย"


มิหนำซ้ำตอนผมเรียนปริญญาโท คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ เริ่มเป็นที่แพร่หลาย มีหรือที่ผมจะยอมตกกระแส อุตส่าห์ทุ่มทุนสร้างกว่า ๖๐,๐๐๐ บาท ได้คอมพิวเตอร์พร้อมเครื่องพิมพ์แบบแคร่ยาว ๒๔ หัวเข็ม อะไรปานนั้น เพราะหลงเชื่อในคำพูดของพื่ร่วมรุ่นเพื่อนบอกว่า ระดับพวกเราถ้ามีเครื่อง มีโปรแกรม มีตำรา และมีเวลา ไม่เห็นจะต้องไปอบรมที่ไหนเลย ดังนั้น โปรแกรมต่าง ๆ ผมก็ต้องไปตระเวณหาซื้อแถวพันธ์ทิพย์พลาซ่า คราวนี้ ผมน้อมรับคำสั่งสอนของพระพุทธองค์อ่างไม่สงสัยอีกเลย เพราะคำถามเปี๊ยนไป เขาถามว่า "ลุง ลุง ลุง ซีดีเอ๊กซซซ มั้ย" ผมก็ต้องกลับมาทบทวนตัวเองว่า หรือรูปลักษณ์ภายนอกของเรามันส่อว่าหมกมุ่นกับเรื่องพรรค์นั้น ต้องพยายามฝืนตอบเชิงถามซ้อนว่า "ซีดีเอ๊กซ์ ไม่เอาหรอก แต่อยากได้ ซีดีพระไตรปิฎก เวอร์ชั่น มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย นะมีมั๊ย" บรรดา พ่อค้าขายตรงก็พากันหลบหน้าไป (ให้รู้เสียบ้างว่า ไผเป็นไผ)


จากเรื่องทั้งหมดที่เล่ามาข้างต้น เป็นไปตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ สอดคล้องกับคลื่นความเปลี่ยนแปลง จากหนังสือปกขาว เป็นวิดีทัศน์ ที่เป็นภาพเคลื่อนไหว จนสู่ระบบดิจิตอล บางครั้ง มันก็จะเยือนมาขายตรงให้เราภายในห้องหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา หากเราจะพิจารณาแบบเหรียญสองด้าน หรือแบบหยินกับหยาง ผมว่ามันยังขาดความสมดุล ความเลวร้าย ราคะ ความเสื่อมทราม ทำไมเปลี่ยนแปลงในอัตราเร่งสูงมาก คงถึงเวลาแล้วที่คุณครูและผู้ที่อยู่ฝ่ายธรรมทั้งหลายจะต้องร่วมมือช่วยกัน สร้างสรรค์เวทีของธรรมให้ทายท้า และน่าสนใจเพื่อพัฒนาคนรุ่นใหม่ให้เป็น คนเก่ง คนดี และมีปัญญา

วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

อย่าคิดว่าเป็นอย่างที่คิด ตอน ๓



ในตอนที่ ๒ จะเห็นได้ว่า ความคิดของผู้ชายและผู้หญิงมีความแตกต่างกัน ซึ่งในหนังสือ ผู้ชายจากดาวอังคาร ผู้หญิงจากดาวศุกร์ ได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า ในการตัดสินใจแต่งงานกัน ผู้หญิง มักคิดอยากจะมีลูก ส่วนผู้ชายนั้นคิดเพียงอยากมีเมีย จึงขอนำเสนออุทาหรณ์อีกเรื่องหนึ่ง หากท่านผู้ใดเคยไปจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยเส้นทางรถยนต์ หากไม่หลับระหว่างเดินทาง จะได้รับอรรถรสจากทางโค้งแห่งชีวิต ๑,๘๖๔ โค้ง บนความลาดชันแห่งขุนเขา เสียวทั้งเวลาลงซึ่งคนขับต้องเร่งเครื่องเพื่อส่งกำลังช่วยในการวิ่งขึ้นเขา และบางครั้งอาจจะต้องวิ่งกินเลนที่สวนมา แต่คนขับมืออาชีพด้วยกันก็จะเข้าใจและให้อภัยซึ่งกันและกัน จะเห็นได้ว่า เมื่อสวนกัน คนขับจะยกมือให้กันและกัน บางคนและหลายคนเขาไม่รู้จักกันแต่เป็นมารยาทในการขออภัยซึ่งกันและกัน
เพื่อนเคยถามว่า ทำไมเขาถึงสร้างถนนเป็นทางโค้ง ตอบไปว่า เพราะต้องสร้างตามแนวไหล่เขา เพื่อนเฉลยว่า เขาสร้างถนนโค้ง เพราะเครื่องหมายจราจร บอกว่า เส้นทางต้องโค้ง (55555+)
นอกจากนี้ เคยมีกลุ่มชาวไทยภูเขา ซึ่งเวลานั้น อาจจะยังไม่ค่อยรู้หนังสือไทย นั่งรถสองแถวมาด้วยกัน พอมีเครื่องหมายจราจร ระบุว่า "โค้งอันตราย" มีสาวคนหนึ่งพอจะรู้หนังสือไทย จึงรีบบอกคนขับไปว่า "วิ่งโตงปาย ขั้งหน้าค้องอานตาราย" เดชะบุญรถติดอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ ไม่ดิ่งลงเหว บาดเจ็บกันระนาว สาวผู้นั้นตะโกนด้วยความลิงโลดว่า "ลีนะ ที่อั๊วลู้หนางเสอทาย ม่ายง้านตายท้างคานแนะ"
จุดสำคัญครั้งนี้ คือ ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังขับรถเปิดหน้าต่างเพื่อรับลมธรรมชาติระหว่างลงจากเขาอย่างอารมณ์ดี ทันใดนั้นเองมีรถยนต์คันหนึ่งวิ่งสวนขึ้นมาอย่างรวดเร็วและกินเลนเข้ามาอย่างมาก ชายผู้นั้นต้องพยายามขับหลบอย่างพัลวัน ในขณะที่รถยนต์คู่กรณี คนขับเป็นหญิงสาว เปิดกระจกหน้าต่างไฟฟ้าลงพร้อมตะโกนมาว่า "ควาย" ชายผู้นั้นโกรธมากที่ถูกผรุสวาส พยายามเหลือบมองเพื่อจำทะเบียนรถยนต์คู่กรณี ครั้น พอโผล่พ้นโค้ง รถยนต์ของชายคนนั้นพุ่งเข้าชนฝูงควายที่เดินอยู่บนถนนอย่างจัง !!!!!

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

อย่าคิดว่าเป็นอย่างที่คิด ตอน ๒


พระพุทธเจ้า ทรงสอนไว้ในกาลามสูตร เกี่ยวกับความเชื่อ ซึ่งในชีวิตของแต่ละบุคคลมีแนวโน้มจะเป็นไปตามเช่นนั้น โดยเฉพาะเชื่อในข้อมูลที่ตรงกับจริตหรือความเชื่อของตัวเอง พระพุทธองค์ จึงสั่งสอนให้รู้จักใช้ความคิด ซึ่งมีอยู่ถึง ๑๐ วิธี ในโยโสมนสิการ เพื่อความเข้าใจในความเชื่อตามจริตของแต่ละคน ขออนุญาต ยกอุทาหรณ์ ดังต่อไปนี้

ใน Coffee Shop ยามดึก สมชาย และสมหญิง พากันมานั่งฟังเพลง ภายใต้บรรยากาศ แสงไฟสลัว ๆ เสียงเครื่องดนตรีที่เสนาะโสต จากเครื่องเสียงคุณภาพ สมชาย นั่งคิดวางแผนว่า หากแต่งงาน มีบ้านเป็นของตัวเอง จะตกแต่งห้องนั่งเล่น ที่ประกอบด้วย เครื่องเสียงคุณภาพ วางตำแหน่งติดตั้งลำโพง ฯลฯ สมหญิง อดใจสั่นไม่ได้ เมื่อยากอยู่ใกล้ สมชาย ที่เป็นคนรัก ยิ่งบรรยากาศพาไป ใจก็ประหม่า นึกว่า ถ้าเขาจับมือหล่อน หล่อนจะทำอย่างไร แล้วถ้าเขาโอบกอดเล่า จะทำอย่างไร แม้แต่หากเขาจูบหล่อน หล่อนจะทำอย่างไร ฯ ล ฯ ต่างคนต่างคิด โดยไม่มีเสียงพูดใดใด ความเงียบของสมชาย ยิ่งสร้างความหวาดหวั่นให้สมหญิง จนอดรนทนไม่ได้

สมหญิง "พี่ทำไมเงียบไปล่ะ มีอะไรหรือเปล่า"

สมชาย "ไม่มีอะไรหรอก พี่ก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย"

สมหญิง "แล้วที่คิดอะไรบ้างเล่า"

สมชาย "ก็คิดอย่างที่น้องคิดนั่นแหละ"

สมหญิง "อีตาบ้า คิดลามก"

สมชาย "!!!!!!!"

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับวิกฤติบ้านเมืองในความทรงจำ


ผมมีความรู้ศึกว่าตัวเองโชคดีที่เกดในแผ่นดินที่มีในหลวงเป็นศูนย์รวมดวงใจ อย่างน้อย 2 เหตุการณ์ทีผมได้มีโอกาสเห็นพระองค์ท่านลงมาแก้ไขวิกฤติบ้านเมือง


ครั้งแรก 14 ตุลาคม 2516 ท่านทรงออกแถลงให้นักศึกษาและพ่อแม่พี่น้องประชาชนทราบว่า จอมพลถนอม กิตติขจรและครอบครัวเดินทางออกจากประเทศไทยแล้ว เหตุการณ์ก็ค่อย ๆ สงบลง


ครั้งที่สอง พฤษภาทมิฬ แม้ผมจะไม่ได้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ เพราะต้องไปทำงานอยู่ต่างจังหวัด ได้มีโอกาสชมโทรทัศน์ถ่ายทอดการเข้าเฝ้าของ พลเอกสุจินดา คราประยูร กับ พลตรีจำลอง ศรีเมือง และทรงตรัสว่า จะมีประโยชน์อะไรถ้าจะมีชัยชนะบนซากปรักหักพัง


ไม่รู้ว่า กลุ่มผู้ชุมนุมที่มีผู้ไม่หวังดี นิยมความรุนแรงแฝงอยู่ มีเจตนาให้เป็นแบบ 14 ตุลา หรือ พฤษภาทมิฬ จะหนีออกนอกประเทศ หรือขอเจรจายุติการต่อสู้ หากเป็นอย่างหลัง ไม่สมควรรบกวนใต้เบื้องยุคลบาท เพราะรัฐบาลให้โอกาสเจรจามากว่า 3-4 ครั้งแล้ว

วันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

โปรดอย่าถามว่าฉันเป็นใครเมื่อในอดีต....

หลายท่านคงเคยได้ยินประโยคนี้ จากบทเพลง จงรัก ที่ขับร้องบรมครู สุเทพ วงศ์กำแหง จากประโยคดังกล่าวข้างต้นท่านคิดถึงอะไร คงมีคววามคิดที่หลากหลายจากแต่ละคน แต่ผมคิดถึงนิทานเรื่องเล่าจาก ท่านบัญญัติ อินทรธนู อคีดศึกษาธิการเขต 5 ผู้ที่ร่วมชะตากรรมกับ เจมส์ ลอยชูศักดิ์ บนเครื่องบินที่ตก ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี และด้วยคุณความดีของท่านส่งผลให้ท่านรอดชีวิต เป็นแขกพิเศษของการบินไทย คือ โดยสารเครื่องบินฟรี ตลอดชีวิต ขอกลับมาเรื่องที่ท่านเล่าดีกว่า
ในอดีต ผู้หญิงจะต้องทำหน้าที่แม่บ้าน อยู่กับเหย้าเฝ้าเรือน โอกาสทางการศึกษาก๊ไม่ได้รับการส่งเสริมเท่าที่ควร การเลื่อนสถานะทางเศรษฐกิจและสังคม ก็โดยเลื่อนตามสามี ดังนั้น พ่อแม่ก็มักจะพยายามแสวงหาสามีที่ดีและร่ำรวยให้ลูก ซึ่งบางคนก็เรียกว่าคลุมถุงชน สุดา (นามสมมุติ) เป็นลูกสาวที่เพียบพร้อมด้วยรูปสมบัติ และคุณสมบัติของแม่บ้านที่ดี พ่อแม่จึงเลือกและติดต่อ (อดีต) เจ้าเมือง (ผู้ว่าราชการจังหวัด) เพื่อแต่งงานกับสุดา และสุดากลับปฏิเสธ จึงเกิดการโต้เถียงกับแม่
แม่ : ทำไมลูกถึงไม่ยอมแต่งงานกับท่านเจ้าเมือง ท่านเป็นคนดีออกจะตาย
สุดา : หนูไม่เถียงว่าท่านเป็นคนดี
แม่ : นอกจากนี้ ท่านจะมีฐานะร่ำรวย และเป็นผู้ที่มีเกียรตยศในสังคมอีกด้วย
สุดา : หนูไม่เถียงสิ่งที่แม่พูดทั้งหมด
แม่ : แล้วทำไมลูกถึงไม่ยอมแต่งงานกับท่านเล่า
สุดา : หนูเห็นว่าท่านแก่
แม่ : ถึงแม้ตอนนี้ท่านจะแก่ แต่เมื่อก่อนท่านก็หนุ่มนะ
สุดา จนปัญญาที่จะเถียงแม่ต่อไป แต่ยังไม่ยอมจำนน จึงหนีขึ้นไปนอน ครั้น เช้าตรู่ สุดา จะต้องทำหน้าที่หุงหาอาหารเตรียมไว้ให้พ่อแม่ เมื่อจัดแจงเรียบร้อย จึงเรียกแม่ลงมากินข้าวเช้า พอแม่เริ่มลงมือตักแกงที่สุดาจัดไว้ให้ ก็ให้เกิดบันดาลโทสะ ตวาดถามสุดา
แม่ : อีนี่ มึงบังอาจอย่างไร แกงอะไรให้กูกิน
สุดา : อ้าว แล้วแม่ว่าแกงอะไร
แม่ : นี่ มันแกงไม้ไผ่ แล้วกูจะกินอย่างไร
สุดา : ตอนนี้มันเป็นไม้ไผ่ แต่เมื่อก่อนมันก็เป็นหน่อไม้นะแม่